ทักษะเรื่องการเท่าทันอุบัติเหตุการณ์สำลักอาหารในเด็กที่พ่อแม่ควรเรียนรู้

การเลี้ยงดูลูกน้อยไม่ใช่แค่การมอบความรักและความอบอุ่น แต่ยังต้องใส่ใจในทุกรายละเอียดของชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องการกินอาหาร ซึ่งเป็นกิจวัตรธรรมดา แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ผู้ปกครองหลายคนอาจมองข้าม เพราะหนึ่งในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยและสร้างความตกใจให้กับครอบครัวคือ การสำลักอาหารในเด็ก 

เด็กเล็กมีโครงสร้างทางเดินหายใจที่ยังเล็กและบอบบาง ด้วยทักษะการเคี้ยวและการกลืนยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้มีโอกาสสำลักได้ง่ายกว่า จนอาจสร้างภาวะฉุกเฉินที่สามารถเกิดขึ้นได้ในเสี้ยววินาที ทำให้การเรียนรู้วิธีช่วยเหลือลูกเมื่อสำลักอาหารจึงไม่ใช่เพียงความรู้พื้นฐาน แต่เป็นทักษะชีวิตสำคัญที่ผู้ปกครองทุกคนควรมีติดตัว เพื่อให้ลูกน้อยของคุณปลอดภัยจากภัยเงียบใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

baby eating

 4 สัญญาณเตือนอันตรายว่าเด็กกำลังสำลักอาหาร

การรู้จักสังเกตอาการตั้งแต่แรกคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้รับมือได้ทันท่วงที อาการสำคัญที่บ่งบอกว่าเด็กอาจกำลังสำลัก ได้แก่

1.ไอรุนแรงและต่อเนื่อง

การไอเป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายในการขับสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจ หากเด็กยังสามารถไอได้อย่างต่อเนื่อง แสดงว่ายังมีช่องทางอากาศหลงเหลืออยู่ แต่หากการไอดังกล่าวไม่ทุเลาภายใน 1 – 2 นาที ผู้ปกครองควรเตรียมพร้อมที่จะให้การปฐมพยาบาลอย่างเร่งด่วน

2.ไม่สามารถเปล่งเสียงหรือร้องไห้ได้

ในกรณีที่สิ่งแปลกปลอมอุดกั้นหลอดลมอย่างสมบูรณ์ เด็กจะไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ ไม่ว่าจะพยายามร้องหรือพูดก็ตาม นี่ถือเป็นสัญญาณอันตรายขั้นวิกฤติที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือโดยทันที

3.สีผิวและริมฝีปากเปลี่ยนไป

เมื่อออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายไม่เพียงพอ ริมฝีปาก ปลายจมูก หรือใบหน้าของเด็กจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีคล้ำหรือออกเขียว ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่สิบวินาที หากไม่ได้รับการแก้ไขโดยทันที อาจนำไปสู่ภาวะหมดสติได้

4.การหายใจติดขัดหรือหยุดหายใจ

เด็กอาจพยายามอ้าปากเพื่อหายใจ แต่ไม่มีเสียงลมผ่านออกมา หรือมีเสียงวี้ด (wheezing) ขณะหายใจ แสดงว่าทางเดินหายใจถูกปิดบางส่วนหรือทั้งหมด หากไม่ได้รับการช่วยเหลือโดยเร่งด่วน อาจพัฒนาไปสู่อันตรายต่อชีวิตของลูกน้อยได้

parent eating with baby

วิธีช่วยลูกน้อยเบื้องต้นเมื่อสำลักอาหาร

1.ตรวจสอบอาการ

ขั้นแรก ผู้ปกครองต้องสังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิด หากเด็กยังสามารถไอแรง ๆ ได้ต่อเนื่อง แสดงว่าทางเดินหายใจยังเปิดอยู่บางส่วน ควรปล่อยให้เด็กไอต่อไปโดยไม่ต้องตบหลังหรือใช้นิ้วล้วง เพราะการไอคือวิธีธรรมชาติที่ปลอดภัยที่สุดในการขับสิ่งแปลกปลอมออกมา แต่หากเด็กเริ่มไอไม่ออก พูดไม่ได้ หรือมีอาการหน้าเริ่มเขียว แสดงว่าทางเดินหายใจถูกอุดกั้นอย่างรุนแรงและจำเป็นต้องเข้าช่วยเหลือทันที

2.ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น

หากเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีและมีอาการสำลักจนไอไม่ออกหรือหายใจไม่ได้ ให้ผู้ปกครองรีบอุ้มเด็กนอนคว่ำบนแขน โดยพยุงศีรษะให้ต่ำกว่าลำตัวเล็กน้อยเพื่อให้แรงโน้มถ่วงช่วย จากนั้นใช้สันมือตบลงไปตรงบริเวณกลางหลังระหว่างสะบักอย่างมั่นคงประมาณห้าครั้งติดต่อกัน

หากสิ่งแปลกปลอมยังไม่หลุด ให้พลิกเด็กให้นอนหงายบนแขนหรือหน้าตัก แล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดตรงกลางหน้าอกใต้แนวหัวนมลงไป 5 ครั้ง และควรทำสลับกับการตบหลัง จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกหรือเด็กกลับมาหายใจได้

ในกรณีที่เด็กอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป วิธีการช่วยเหลือจะแตกต่างออกไป ผู้ปกครองควรยืนด้านหลังเด็กแล้วโอบรอบเอว จากนั้นกำมือหนึ่งข้างวางไว้ใต้ลิ้นปี่เหนือสะดือเล็กน้อย ใช้อีกมือประคองกำปั้นไว้แล้วออกแรงกดเข้าท้องพร้อมดันขึ้นอย่างรวดเร็วและมั่นคง วิธีนี้เรียกว่า “Heimlich maneuver” ซึ่งจะช่วยสร้างแรงดันอากาศภายในปอดเพื่อดันสิ่งแปลกปลอมออกมา ทำซ้ำต่อเนื่องจนกว่าเด็กจะไอออกหรือหายใจได้เอง

3.ลูกน้อยมีอาการหมดสติ

  • โทร 1669 ขอความช่วยเหลือทันที

    ควรโทรศัพท์หาหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันทีเพื่อขอความช่วยเหลือ พร้อมทั้งเปิดลำโพงหรือใช้แฮนด์ฟรี เพื่อการช่วยเหลือลูกไปพร้อมกับการรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ได้

  • วางเด็กนอนหงายบนพื้นแข็ง เปิดทางเดินหายใจ

    นำเด็กมาวางบนพื้นราบที่มั่นคง เช่น พื้นบ้านหรือพื้นแข็ง ไม่ควรวางบนเตียงที่นิ่มเกินไป จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งวางบนหน้าผากเพื่อเงยศีรษะ และใช้นิ้วอีกข้างยกคางขึ้นเล็กน้อย วิธีนี้จะช่วยเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง

  • เริ่มทำ CPR

    ตรวจดูว่ามีการหายใจหรือชีพจรหรือไม่ หากไม่มี ต้องเริ่มกดหน้าอกทันทีต่อเนื่องโดยไม่หยุดเกิน 10 วินาที เพื่อให้สมองและอวัยวะสำคัญยังได้รับออกซิเจน หากเด็กกลับมาหายใจเองจนทีมแพทย์ถึง

ทารกอายุน้อยกว่า 1 ปี: ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดลงตรงกลางหน้าอก บริเวณใต้แนวหัวนม กดลึกประมาณ 4 เซนติเมตร (ประมาณ 1/3 ของความหนาหน้าอกทารก)

เด็กโต: ใช้ส้นมือวางบนกลางหน้าอก (ระหว่างหัวนมทั้งสองข้าง) แล้วกดลึกประมาณ 5 เซนติเมตร ด้วยจังหวะสม่ำเสมอ สลับกับการเป่าปากช่วยหายใจ 2 ครั้ง โดยการเป่าปากควรปิดปากและจมูกเด็กให้สนิท เป่าลมเบา ๆ เพียงพอให้หน้าอกยกขึ้น ไม่ต้องแรงเกินไป
Banner ดูสินค้าแม่และเด็กได้ที่เว็บไซต์ Punnita.com

ป้องกันการสำลักอาหารด้วยวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง และอุปกรณ์รับประทานอาหารสำหรับเด็กจาก Punnita

การสำลักอาหารในเด็กไม่ใช่เหตุการณ์ไกลตัว เพราะสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแม้ในมื้ออาหารธรรมดาภายในบ้าน การที่ผู้ปกครองมีความรู้และเข้าใจขั้นตอนการช่วยเหลืออย่างถูกต้องจึงเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญที่สุด เพราะเพียงไม่กี่วินาทีของการตัดสินใจและการปฏิบัติที่ถูกต้อง อาจหมายถึงการรักษาชีวิตลูกน้อยได้

นอกจากการเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลแล้ว การป้องกันก็สำคัญไม่แพ้กัน ผู้ปกครองควรเลือกอุปกรณ์และสินค้าที่ช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความปลอดภัยในการเลี้ยงลูก เช่น จานชามซิลิโคนสำหรับเด็กจาก Punnita ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้การกินอาหารของลูกน้อยปลอดภัยและง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ควรใส่ใจการเลือกอาหารและพฤติกรรมการกินควบคู่ไปด้วย อาหารที่มีลักษณะกลม แข็ง เหนียว หรือมันลื่น เช่น องุ่น ถั่ว ลูกอม ข้าวโพดคั่ว และไส้กรอกหั่นแว่น ควรหลีกเลี่ยงสำหรับเด็กเล็ก หรือหากจำเป็นต้องให้ก็ควรหั่นเป็นชิ้นเล็กและทำให้นิ่มก่อนเสิร์ฟ อีกทั้งต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เด็กนั่งตัวตรง ไม่พูดคุย เล่น หรือหัวเราะระหว่างรับประทานอาหาร เพราะพฤติกรรมเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการสำลักได้

การผสมผสานระหว่างความรู้ในการช่วยเหลือ การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม และการสร้างพฤติกรรมการกินที่ปลอดภัย จะช่วยให้ทุกมื้ออาหารของลูกน้อยเต็มไปด้วยทั้งความสุข ความอบอุ่น และความมั่นใจในความปลอดภัยสูงสุดของคนในครอบครัว