น้ำหนักทารกในครรภ์ แต่ละสัปดาห์ พร้อมข้อแนะนำที่คุณแม่ควรทราบ

น้ำหนักลูกน้อยในครรภ์ไม่เพียงแต่บอกว่าทารกมีน้ำหนักตัวเท่าไรเท่านั้น แต่การติดตามน้ำหนักทารกในครรภ์ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณแม่มั่นใจว่าลูกน้อยเติบโตอย่างแข็งแรงและมีสุขภาพดี มีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคต่าง ๆ หรือไม่ โดยน้ำหนักของทารกในครรภ์จะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาต่าง ๆ ของการตั้งครรภ์ ตั้งแต่เดือนแรกจนถึงเดือนที่เก้า ซึ่งน้ำหนักทารกในแต่ละสัปดาห์จะแปรผันตามอายุครรภ์และปัจจัยต่าง ๆ เช่น โภชนาการของคุณแม่ สภาพสุขภาพ และกรรมพันธุ์อีกด้วย

pregnant woman lay down with ultra sound photo

วิธีตรวจเช็กน้ำหนักทารกในครรภ์ สามารถทำได้อย่างไรบ้าง?

  1. ตรวจเช็กจากน้ำหนักคุณแม่

วิธีที่คุณแม่สามารถตรวจเช็กน้ำหนักทารกในครรภ์ได้ด้วยการสังเกตน้ำหนักของตัวเอง เพราะน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นของคุณแม่นั้นแปรผันไปตามขนาดตัวของลูกน้อยหรือน้ำหนักตัวของลูกน้อยที่เพิ่มขึ้น แต่วิธีนี้อาจจะไม่มีความแม่นยำเท่าไร เพราะเต็มไปด้วยปัจจัยที่ส่งผลต่อน้ำหนักตัวของคุณแม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรก มดลูก น้ำคร่ำ เลือดและน้ำ เต้านม น้ำนอกเซลล์ และไขมัน จึงควรใช้วิธีอื่น ๆ ในการตรวจเช็กเพิ่มเติมด้วย

  1. ตรวจเช็กโดยวัดความสูงของยอดมดลูก

อีกหนึ่งวิธีการคาดคะเนน้ำหนักของทารกในครรภ์เบื้องต้น ซึ่งคุณแม่สามารถวัดได้จากความสูงของยอดมดลูก พิจารณาโดยแบ่งสัดส่วนระยะสะดือกับกระดูกหัวหน่าวของคุณแม่ตั้งครรภ์ออกเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กัน และแบ่งระยะระหว่างสะดือถึงลิ้นปี่เป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน ซึ่งความสูงของยอดมดลูกทั่วไปจะอยู่ที่

 

ความสูงของดอก คาดคะเนน้ำหนักทราย
ยอดดอกสูง 25 – 30 ซม. น้ำหนักทรายประมาณ 1,680 – 2,790 กรัม
ยอดดอกสูง 31 – 35 ซม. น้ำหนักทรายประมาณ 2,790 – 3,410 กรัม
ยอดดอกสูง 36 – 40 ซม. น้ำหนักทรายประมาณ 3,585 – 4,185 กรัม
ยอดดอกสูง 41 ซม. ขึ้นไป น้ำหนักทรายประมาณ 4,340 กรัม ขึ้นไป

 

  1. ตรวจเช็กด้วยการทำอัลตราซาวด์

ปัจจุบัน เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ 4 มิติ ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจสอบคาดคะเนน้ำหนักทารกในครรภ์ เพราะทำให้เห็นขนาดตัวของทารกชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับน้ำหนักของเด็กจริง ๆ แต่ก็อาจมีการคลาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อย คลาดเคลื่อนไปประมาณ 0.45 กิโลกรัม หรือ 453.5 กรัม จากน้ำหนักจริงของทารก

ตารางน้ำหนักมาตรฐานของทารกในครรภ์แต่ละสัปดาห์

น้ำหนักของทารกในครรภ์อาจมีขึ้นลงบ้าง ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งน้ำหนักของคุณแม่ สุขภาพของคุณแม่ กรรมพันธุ์ และอาหารที่รับประทาน อย่างไรก็ตาม เกณฑ์มาตรฐานน้ำหนักของทารกในครรภ์ที่ควรเป็น ดังนี้

อายุครรภ์ น้ำหนักทารกในครรภ์
1 – 3 สัปดาห์ 0 กรัม
4 – 8 สัปดาห์ 1 กรัม
9 สัปดาห์ 2 กรัม
10 สัปดาห์ 4 กรัม
11 สัปดาห์ 7 กรัม
12 สัปดาห์ 14 กรัม
13 สัปดาห์ 23 กรัม
14 สัปดาห์ 43 กรัม
15 สัปดาห์ 70 กรัม
16 สัปดาห์ 100 กรัม
17 สัปดาห์ 140 กรัม
18 สัปดาห์ 190 กรัม
19 สัปดาห์ 240 กรัม
20 สัปดาห์ 300 กรัม
21 สัปดาห์ 360 กรัม
22 สัปดาห์ 430 กรัม
23 สัปดาห์ 500 กรัม
24 สัปดาห์ 600 กรัม
25 สัปดาห์ 660 กรัม
26 สัปดาห์ 760 กรัม
27 สัปดาห์ 875 กรัม
28 สัปดาห์ 1,000 กรัม
29 สัปดาห์ 1,200 กรัม
30 สัปดาห์ 1,300 กรัม
31 สัปดาห์ 1,500 กรัม
32 สัปดาห์ 1,700 กรัม
33 สัปดาห์ 1,900 กรัม
34 สัปดาห์ 2,000 กรัม
35 สัปดาห์ 2,400 กรัม
36 สัปดาห์ 2,600 กรัม
37 สัปดาห์ 2,900 กรัม
38 สัปดาห์ 3,100 กรัม
39 สัปดาห์ 3,300 กรัม
40 สัปดาห์ 3,500 กรัม

 

น้ำหนักลูกน้อยมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานเป็นผลดีหรือไม่?

คุณแม่หลายท่านอาจจะคิดว่าการที่ลูกน้อยมีน้ำหนักมาก ๆ แสดงว่าลูกน้อยมีการเจริญเติบโตที่ดี แต่ในกรณีที่ลูกน้อยมีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์นั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย เนื่องจากน้ำหนักที่มากเกินไปอาจเป็นสัญญาณของโรคต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวานในเด็ก โรคอ้วนในเด็ก รวมถึงอาจมีความเสี่ยงตามมาในภายหลัง เช่น ลูกน้อยเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด เสี่ยงมีรูปร่างผิดปกติ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในครรภ์และหลังคลอดได้เหมือนกัน หากพบว่าลูกน้อยมีน้ำหนักที่มากกว่าเกณฑ์ คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ช่วยเหลือจะดีที่สุด

น้ำหนักลูกน้อยต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานส่งผลอย่างไรต่อลูกน้อย?

โดยทั่วไปแล้ว น้ำหนักทารกในครรภ์ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ อาจบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตที่ไม่เพียงพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การขาดสารอาหารในระหว่างการตั้งครรภ์ ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การสูบบุหรี่หรือการใช้สารเสพติด แต่สาเหตุหลักที่มักพบได้บ่อย มักมาจากการที่ได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่ไม่เพียงพอ หากคุณแม่ตรวจพบว่าลูกน้อยมีน้ำหนักหรือขนาดตัวน้อยกว่าเกณฑ์ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

น้ำหนักของคุณแม่ก็สำคัญไม่แพ้น้ำหนักลูกน้อยในครรภ์

นอกจากคุณแม่จะต้องหมั่นเช็กน้ำหนักลูกน้อยในครรภ์แล้ว คุณแม่จำเป็นต้องดูแลสุขภาพร่างกายและน้ำหนักตัวของตนเองด้วยเช่นกัน เพราะน้ำหนักของลูกน้อยที่มากเกินไป อาจเกิดจากปัญหาโรคอ้วนจากคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ โดยทั่วไปแล้ว คุณแม่ที่ตั้งครรภ์มักมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่าเดิมประมาณ 10 ถึง 15 กิโลกรัม (ขึ้นอยู่กับดัชนีมวลกายก่อนการตั้งครรภ์) ซึ่งสามารถคำนวณเกณฑ์มาตรฐานที่ไม่เสี่ยงโรคได้ ดังนี้

BMI ก่อนตั้งครรภ์ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1 (กก.) น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์ ช่วงไตรมาส 2-3 (กก.) น้ำหนักตัวที่ควรเพิ่มขึ้นทั้งหมด (กก.)
< 18.5 2.3 0.5 12.5 – 18.0
18.5 – 24.9 1.6 0.4 11.5
25.0 – 29.9 0.9 0.3 7.0 – 11.5
≥ 30 0 0.2 5.0 – 9.0

สังเกตได้ว่าสุขภาพที่ดีของลูกน้อยในครรภ์ เริ่มต้นได้จากสุขภาพที่ดีของตัวคุณแม่เองเสมอ ฉะนั้นคุณแม่ท่านใดที่อยากให้ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรง ก็อย่าลืมหมั่นดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง ให้ความสำคัญกับโภชนาการ โดยควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย เช่น ผลไม้ ผัก โปรตีน และธัญพืช นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้สารเสพติด รวมถึงการฝากครรภ์และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แพทย์สามารถติดตามพัฒนาการของลูกน้อยได้อย่างใกล้ชิดกันด้วยนะคะ

Banner ดูสินค้าแม่และเด็กได้ที่เว็บไซต์ Punnita.com

สุดท้ายนี้สำหรับคุณแม่ท่านใดที่กำลังมองหาผู้ช่วยในการเตรียมของใช้สำหรับคุณแม่คุณพ่อมือใหม่ สามารถใช้บริการ Punnita ได้นะคะ เพราะเราคือศูนย์รวมสินค้าแม่และเด็กครบวงจร พร้อมให้บริการจัดจำหน่ายและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ท่านใดสนใจสามารถปรึกษาเราได้เลยค่ะ